“กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ขับเคลื่อนการเจรจาการค้าเชิงรุก จัดงาน FTA Fair นำสินค้าไทย สู่ตลาดการค้าเสรี ยกระดับการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล
เพิ่มช่องทางจำหน่ายทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ”
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มีวิสัยทัศน์ "ขับเคลื่อนการเจรจาการค้าเชิงรุก เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศครอบคลุม 80% ของการค้าไทยกับโลก ภายในปี 2570" โดยมีพันธกิจหลักในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีและเจรจาการค้าระหว่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในเวทีต่าง ๆ ทั้งระดับทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี
จากการดำเนินการของกรมฯ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีความตกลงการค้าเสรีทั้งหมด 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ โดยล่าสุดความตกลง RCEP เป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็น FTA ฉบับที่ 14 ของไทย โดยไทยได้ยื่นสัตยาบันสารแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 และล่าสุดความตกลง RCEP เริ่มมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม 2565 และยังมีการเจรจาความตกลงกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุนเพิ่มเติมกับประเทศคู่ภาคี รวมถึงการเจรจาเพื่อยกระดับ/ปรับปรุงความตกลงเดิม และการฟื้น/เปิดการเจรจาใหม่
เหตุผลความจำเป็นในการดำเนินโครงการ ไทยมีฐานเศรษฐกิจมาจากการส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลก ในปี 2565 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลกด้วยมูลค่า 26,721.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.18 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับปีก่อน โดยตลาดส่งออกอันดับหนึ่งคือ จีน (10,540.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีอัตราการหดตัวร้อยละ 3.44 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.45 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (3,390.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สหรัฐอเมริกา (1,587.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มาเลเซีย (1,290.08 ล้านเหรียญสหรัฐ) และเกาหลีใต้ (871.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าว ไก่แปรรูป ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมให้ความสำคัญกับเกษตรกรและผู้ประกอบการซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการเปิดเสรีทางการค้า และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เน้นการพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการไปสู่การเป็นผู้ส่งออก โดยตั้งแต่ปี 2555 กรมได้ดำเนินโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ มาอย่างต่อเนื่องในเรื่องการใช้ประโยชน์จาก FTA เพื่อขยายตลาดส่งออก และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดการค้าเสรี ที่ไทยได้จัดทำความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA จำนวน 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และล่าสุดคือ ความตกลงการค้าเสรี RCEP ที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินจัดงานสัมมนาทั่วประเทศแล้ว กรมกำหนดจัดโครงการ “FTA Fair นำสินค้าไทย สู่ตลาดการค้าเสรี” (โครงการระยะที่ 5) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือจังหวัดใกล้เคียง ในรูปแบบงาน FTA Fair ซึ่งการจัดโครงการในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะส่งเสริมเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปที่มีศักยภาพและพร้อมใช้ประโยชน์จาก FTA ในการเชื่อมโยงสินค้าชุมชนกับห่วงโซ่อุปทานในตลาดโลกนำไปสู่การสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
โดยการจัดงานในครั้งนี้ งาน FTA Fair นำสินค้าไทย สู่ตลาดการค้าเสรี จะจัดขึ้นในวันนี้ 2 – 8 สิงหาคม 2566 ณ ลานชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ มีของดีที่ขนกันมาจากหลากหลายจังหวัด คัดสรรอย่างดีด้วยสินค้าเกรดพรีเมียม พร้อมด้วยการแสดงจากศิลปินชื่อดัง สินค้าหลายรายการที่ล้วนคัดมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ การันตีว่าคุณภาพพรีเมี่ยมในราคาพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าปลาทะเลแปรรูป ใบชาอู่หลง ชาเลือดมังกร ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้า, อายครีม, เซรั่ม และครีมกันแดด มะขามฝักและมะขามแปรรูปกาแฟดริปแบค แป้งร่ำเกลือจืด ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารและเครื่องสำอาง รวมกว่า 40 ร้านค้า จัดใหญ่จัดเต็มกับกิจกรรมสุดพิเศษทุกวัน อาทิ การเสวนาเรื่อง “ผ้าไทยใครใส่ก็ปัง” และกิจกรรมเปลี่ยนลุคให้ปัง สวยทุกวันด้วยผ้าไทย การเสวนา “กินดี อร่อยดี สุขภาพดี” และกิจกรรมสาธิตการทำอาหารจากเชฟอิน ณรงค์ฤทธิ์ แช่ขอ เสวนาเรื่อง “กิจกรรมยามเช้าของชาวคาเฟอีน” และกิจกรรมสาธิตการทำลาเต้ Art การเสวนาเรื่อง “ประดับดวง เสริมดวงด้วยอัญมณีและเครื่องประดับ ประจำวันเกิด” และกิจกรรมแต่งหน้าเสริมเครื่องประดับ กิจกรรม Mini Concert โดยนักร้อง เก่ง ธชย ตรี ชัยณรงค์ และกานต์ กานต์ ทศน และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ มากมาย